โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายกฎแห่งการแยกของเมนเดล และการทดลองอันเป็นที่มาของกฏได้
2. อธิบายกฎความน่าจะเป็นที่นามาใช้อธิบายการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
3. บอกความเชื่อมโยงกฎแห่งการแยกกับการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้
เนื้อหา
สิ่งมีชีวิตประกอบด้วยหน่วยย่อยพื้นฐานที่เรียกว่าเซลล์
(cell) โดยปกติแล้วจะไม่สามารถมองเห็นเซลล์ด้วยตาเปล่า
เนื่องจากมีขนาดเล็กตั้งแต่ 5-15 ไมครอน (micron) แต่เซลล์ของสิ่งมีชีวิตบางชนิด
เช่น ไข่นก ไข่ของสัตว์เลื้อยคลานนั้นมีขนาดใหญ่และสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
เซลล์มีองค์ประกอบขนาดเล็กที่สามารถทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใน เรียกว่า
ออร์แกเนลล์ (organelle)
โดยสามารถแบ่งเซลล์ตามลักษณะความซับซ้อนขององค์ประกอบภายในเซลล์ได้เป็น 2 ชนิด คือ
เซลล์โพรคาริโอต (prokaryote) และ เซลล์ยูคาริโอต (eukaryote) ในการค้นพบเซลล์และการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับเซลล์ของนักวิทยาศาสตร์ ทำให้เราสามารถเข้าใจถึงการทำงานในระบบร่างกายสิ่งมีชีวิตได้ดียิ่งขึ้น
โดยสามารถแบ่งเซลล์ตามลักษณะความซับซ้อนขององค์ประกอบภายในเซลล์ได้เป็น 2 ชนิด คือ
เซลล์โพรคาริโอต (prokaryote) และ เซลล์ยูคาริโอต (eukaryote) ในการค้นพบเซลล์และการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับเซลล์ของนักวิทยาศาสตร์ ทำให้เราสามารถเข้าใจถึงการทำงานในระบบร่างกายสิ่งมีชีวิตได้ดียิ่งขึ้น
การค้นพบเซลล์สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น ในปี
ค.ศ. 1655
โดย นักพฤกษศาสตร์ ชาวอังกฤษ โรเบิร์ต ฮุค (Robert Hooke) ได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นสังเกตโครงสร้างเล็กๆ
ของไม้คอร์ก (cork)
ที่ถูกเฉือนเป็นแผ่นบางๆ พบว่ามีลักษณะเป็นห้องเล็กๆ คล้ายรังผึ้ง เขาได้เรียกห้องเล็กๆเหล่านี้ว่าเซลล์ ซึ่งการศึกษาเซลล์ไม้คอร์กของโรเบิร์ต ฮุค ในครั้งนั้นเป็นการค้นพบเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเป็น
ครั้งแรก แต่เป็นเซลล์ที่ตายแล้วคงเหลือแต่ส่วนของผนังเซลล์ (cell wall) เท่านั้น
ที่ถูกเฉือนเป็นแผ่นบางๆ พบว่ามีลักษณะเป็นห้องเล็กๆ คล้ายรังผึ้ง เขาได้เรียกห้องเล็กๆเหล่านี้ว่าเซลล์ ซึ่งการศึกษาเซลล์ไม้คอร์กของโรเบิร์ต ฮุค ในครั้งนั้นเป็นการค้นพบเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเป็น
ครั้งแรก แต่เป็นเซลล์ที่ตายแล้วคงเหลือแต่ส่วนของผนังเซลล์ (cell wall) เท่านั้น

รูปที่ 1 กล้องจุลทรรศน์ของโรเบิร์ต ฮุค (ซ้าย)
และเซลล์ไม้คอร์กที่ตายแล้ว (ขวา)

รูปที่ 2 อันตวน แวน เลเวนฮุค (ซ้าย)
และกล้องจุลทรรศน์ของเลเวนฮุค (ขวา)
หลังจากนั้นในปี
ค.ศ. 1830-1839
นักพฤกษศาสตร์ มัตทิอัส ชไลเดน (Matthias Schleiden) และนักสัตววิทยา เทโอดอร์ ชวันน์ (Theodor Schwann) ได้ศึกษาเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ชนิดต่างๆ
รวมทั้งศึกษาบทบาทของนิวเคลียส (nucleus)ภายในเซลล์ต่อการแบ่งเซลล์
ชไลเดน และ ชวันน์ ได้รวบรวมความรู้ที่ได้และจัดตั้งเป็น ทฤษฎีเซลล์ (The
Cell Theory) โดยมีใจความที่สำคัญดังนี้
1. สิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์
2. เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
3. เซลล์เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ที่มีอยู่ก่อน
2. เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
3. เซลล์เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ที่มีอยู่ก่อน

รูปที่ 3 มัตทิอัส ชไลเดน (ซ้าย) และทีโอดอร์ ชวันน์
(ขวา)
ประเภทของเซลล์
เซลล์สิ่งมีชีวิตสามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ
ได้ 3 ประเภทตามความแตกต่างขององค์ประกอบภายในเซลล์ คือ เซลล์สัตว์ เซลล์พืช และเซลล์ของแบคทีเรียโดยเซลล์สัตว์์แตกต่างจากเซลล์พืชตรงที่
เซลล์สัตว์ไม่มีผนังเซลล์ และไม่มีรงควัตถุที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง
สำหรับเซลล์แบคทีเรียมีความซับซ้อนขององค์ประกอบภายในเซลล์น้อยกว่าเซลล์สัตว์และเซลล์พืชมาก
เช่น ไม่มีเยื่อหุ้มสารพันธุกรรม และออร์แกเนลล์ต่างๆ เป็นต้น
![]() |
ก ข
ภาพที่ 1 เซลล์ของพารามีเซียม ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวจัดอยู่ในกลุ่มโปรโตซัว
ก. ภาพกาลังขยายต่ำแสดงให้เห็นเซลล์ของพารามีเซียมเคลื่อนที่
ข. ภาพกาลังขยายสูงแสดงให้เห็นเซลล์ของพารามีเซียมแตก
ภาพที่ 1 เซลล์ของพารามีเซียม ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวจัดอยู่ในกลุ่มโปรโตซัว
ก. ภาพกาลังขยายต่ำแสดงให้เห็นเซลล์ของพารามีเซียมเคลื่อนที่
ข. ภาพกาลังขยายสูงแสดงให้เห็นเซลล์ของพารามีเซียมแตก
รูปที่ 4 โครงสร้างเซลล์สัตว์

รูปที่ 5 โครงสร้างเซลล์พืช
![]() |
รูปที่ 6 โครงสร้างเซลล์แบคทีเรีย

เนื่องจากการแลกเปลี่ยน
ออกซิเจน สารอาหาร และของเสียกับสิ่งแวดล้อมภายนอกเซลล์จะเกิดได้ดี
มีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อเซลล์นั้นมีอัตราส่วนของพื้นที่ผิวต่อปริมาตรสูง
ซึ่งหมายถึง เซลล์นั้น ๆ
มีพื้นที่ผิวที่ใหญ่พอสำหรับการแลกเปลี่ยนหรือถ่ายเทสารให้ทั่วถึงปริมาตรทั้งหมดของเซลล์
และเซลล์ที่มีขนาดเล็กจะมีอัตราส่วนของพื้นที่ผิวต่อปริมาตรสูงกว่าเซลล์ที่มีขนาดใหญ่
ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าขนาดของเซลล์ซึ่งวัดโดยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพิ่มขึ้น 10 เท่า พื้นที่ผิวจะเพิ่มขึ้นประมาณ 100 เท่า
ในขณะที่ปริมาตรจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 เท่า ดังนั้นเซลล์ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าใด ยิ่งจะมีอัตราส่วนของพื้นที่ผิวต่อปริมาตรลดลง
ในขณะที่ปริมาตรจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 เท่า ดังนั้นเซลล์ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าใด ยิ่งจะมีอัตราส่วนของพื้นที่ผิวต่อปริมาตรลดลง
ตัวอย่างการคำนวณเช่น
ถ้าเส้นผ่านศูนย์กลางของเซลล์ 2 ชนิดมีขนาด 1
ซม. และ 10 ซม.
ดังนั้น พื้นที่ผิว( 4
r2 ) เท่ากับ
3.14 ตร.ซม. และ 314.16 ตร.ซม.
ตามลำดับ ปริมาตร ( 
r3 ) เท่ากับ
0.524 ลบ.ซม. และ 523.599 ลบ.ซม.
ดังนั้นพื้นที่ผิวต่อปริมาตร ประมาณ 5.99 : 1 และ 0.6 : 1



อย่างไรก็ตาม
สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่กว่าสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งนั้นไม่ได้มีีเซลล์ขนาดใหญ่กว่าแต่มีจำนวนเซลล์ที่มากกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น